โรคไวรัสโควิด-19 ระบาดเข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม 2663 ยังคงมีภาวะความรุนแรงของการแพร่ระบาดต่อเนื่องจนถึงปลายปี 2564 รวมทั้งคาดการณ์ได้ว่าภาวะดังกล่าวยังคงยืดเยื้อถึงปี 2565 โรคนี้หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่าโรคโควิด-19 ซึ่งอุบัติขึ้นในประเทศจีนและแพร่กระจายไปทั่วไปโลกนี้ถือได้ว่าเป็นตัวแปรสำคัญที่มีอิทธิพลต่อสังคมไทยและสังคมโลกตั้งแต่ปี 2563 อย่างฉับพลัน ก่อให้เกิดการวิถีชีวิตแบบใหม่ทั้งระดับปัจเจกบุคคลและสังคม เป็นทั้งปัจจัยเร่งให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางสังคมเศรษฐกิจสังคม การเมือง รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเกิดความสัมพันธ์ทางสังคมในรูปแบบใหม่ๆ ในระยะแรกของปี 2563 ซึ่งถือเป็นการระบาดของไวรัสโควิด-19 ระยะแรกในประเทศ มีผูู้ติดเชื้อในประเทศไทย จํานวนไม่มากนัก ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพบริการที่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้เดินทางที่มาหรือกลับมาจากประเทศจีน เช่น คนขับแท็กซี่ หรือผู้ทํางานในสนามบิน ต่อมาในเดือนมีนาคม 2563 การระบาดของโรคขยายเป็นวงกว่างโดยเริ่มจากสถานที่ที่มีผู้ไปรวมตัวกันจํานวนมาก เช่น สถานบันเทิง สนามมวยราชดําเนินและลุมพินี ส่งผลให้รัฐบาลใช้มาตรการต่าง ๆ เพื่อควบคุมการระบาด ของโรค เช่น มีการปิดสถานศึกษาและสถานที่ต่าง ๆ และการจํากัดการเดินทางเข้าออกของชาวไทยและนักท่องเที่ยวที่เรียกว่าการล็อคดาวน์ การระบาดของไวรัสโควิด-19 ในช่วงแรกของปี 2563 นั้นเป็นช่วงที่ประเทศไทยยังสามารถควบคุมการระบาดของโรคได้ แต่ทว่าผลกระทบของการระบาดและมาตรการป้องกันการระบาดของโรคส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตและธุรกิจของประเทศอย่างมหาศาล เกิดความเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เช่น ชุมชนออนไลน์แบบใหม่ ๆ การฆ่าตัวตาย และธุรกิจล้มละลาย ภาวะไร้งานทํา ปัญหาทางสุขภาพ ปัญหาทางมนุษยธรรม และอื่น ๆ
ไม่นานนักเกิดภาวะการระบาดระยะที่ 2 สถานการณ์ควบคุมโรคระบาดของประเทศไทยที่ดูเหมือนควบคุมได้แล้ว ตั้งแต่กลางปี 2563 กลับมาถึงช่วงพลิกผันในช่วงเดือนธันวาคม ที่ส่งผลต่อเนื่องมาถึงต้นปี 2564 กลายเป็นการระบาดโรคโควิด-19 ระยะที่สอง ที่กระจายตัวไปตามจังหวัดต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว จนดูเหมือนควบคุมได้ยาก โดยการระบาดเริ่มที่จังหวัดเชียงใหม่และที่จังหวัดสมุทรสาครซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางการระบาดที่ใหญ่ที่สุด ทว่ารัฐบาลและหน่วยงานระดับท่องถิ่นสามารถควบคุม สถานการณ์ในจังหวัดสมุทรสาครได้ในระยะเวลาสั้น ๆ โดยใช้กลวิธีที่เรียกว่า Bubble and Seal หรือการควบคุมพื้นที่และการเคลื่อนย้ายของแรงงานเมียนมาให้อยู่ในพื้นที่ที่ควบคุม และมีการเร่งฉีดวัคซีนให้กับแรงงานและประชาชนในพื้นที่
ต่อมาในช่วงเดือนมีนาคม 2564 ภาวการณ์ระบาดของโรคโควิด-19 ในสังคมไทยเร่ิมเข้าสู่ระยะที่ 3 และทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นจนโดยเฉพาะถึงช่วงเดือนสิงหาคม 2564 ภาวะผ่อนคลายการล็อคดาวน์ในช่วงเดือนมีนาคมและเมษายน ซึ่งมีเทศกาลใหญ่ เช่น สงกรานต์ ส่งผลให้มีการระบาดในวงกว้าง ประกอบกับในช่วงกลางปี 2564 เกิดการระบาดจากแหล่งท่องเที่ยวกลางกรุงเทพฯ ที่ผู้ให้บริการหรือผู้ที่ทํางานในภาคบริการพักอาศัยอยู่ในชุมชนแออัดส่งผลให้เกิดการระบาดในชุมชนแออัดด้วย นอกจากนี้แหล่งที่เกิดการระบาดโควิด-19 ในเขตกรุงเทพมหานคร คือ บริเวณที่พักคนงานก่อสร้าง ซึ่งสภาพที่อยู่อาศัยแออัดและขาดสุขอนามัย การแก้ปัญหาของรัฐบาลในการกักตัวและปล่อยคนงานและการหลบหนีส่งให้มีทั้งผูู้เดินกลับภูมิลําเนา และการเดินทางในหางานทำ ในพื้นที่อื่น ๆ ในช่วงกลางปี 2564 จํานวนผู้ติดเชื้อรายวันเพิ่มมากขึ้นถึงเกือบสองหมื่นรายต่อวัน แม้ว่าในช่วงเวลาดังกล่าวนี้รัฐบาลพยายามเร่งให้เกิดการฉีดวัคซีนแก่ประชาชนให้มากเท่าที่สุดเท่าที่เป็นไปได้แต่เนื่องจากการบริหารวัคซีนของรัฐบาลค่อนข้างช้าและขาดประสิทธิภาพ จึงเกิดความไม่พึงพอใจต่อการทํางานของรัฐบาลโดยเฉพาะประเด็นการสั่งวัคซีนที่มีคุณภาพไม่สูงค่อนข้างมากในช่วงแรก ที่ไม่สามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อหรือผลกระทบการติดเช้ือโควิด-19 กลายพันธุ์เช่น สายพันธุ์เดลต้า ในช่วงนี้เองที่การสาธารณสุขของประเทศซึ่งถือเคยว่ามีประสิทธิภาพอยู่ในภาวะลําบากกับการบริหารพื้นที่และบุคลากรให้รองรับกับจํานวนผู้ป่วยที่เพิ่มจํานวนมากขึ้นนี้ รัฐบาลเริ่มให้มีการจัดพื้นที่กักตัวและโรงพยาบาลสนามตามสถานที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศเพื่อรองรับผู้ป่วยที่เรียกว่า hospitel เพิ่มมากขึ้น
ผลกระทบจากภาวะการแพร่ระบาดโควิด-19 อันเกิดจากทั้งภาวการณ์ระบาดของโรค และมาตรการสาธารณสุข เช่น การล็อคดาวน์การควบคุมภาวะโรคระบาด การกักตัว 14 วัน หรือการปิดพื้นที่ต่าง ๆ ที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่ปี 2563 จนถึงปัจจุบันกิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงัก ทั้งภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการทั้งระดับมหภาคและจุลภาค ส่วนทางสังคมนั้นเกิดความเปลี่ยนแปลงภาวะทางสังคมและความสัมพันธ์ทางสังคม กล่าวได้ว่าภาวะการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ภาวะความหวาดกลัวโรคระบาดมีผลต่อการอยู่ร่วมกันในสังคมไทย และส่งผลกระทบอย่างต่อเนื่องต่อชีวิตทางสังคมไทยในทุกมิติมากยิ่งขึ้นและอย่างลึกซึ้ง
ความสนใจของสังคมและนักวิชาการมุ่งไปที่ประเด็นด้านสาธารณสุขการแพทย์ การประดิษฐ์นวัตกรรมเพื่อการแก้ปัญหาในภาวะโรคระบาดโควิด-19 เนื่องจากเป็นปรากฏการณ์ที่มองเห็นได้ง่ายทั่วไป และเป็นปัญหาเร่งด่วน แต่การศึกษาเกี่ยวกับโควิด-19 ที่เกี่ยวเนื่องกับสังคมไทยยังมีอีกหลายประเด็นที่ต่องการการศึกษาอย่างลึกซ้ึง นับตั้งแต่การทําความเข้าใจ
โควิด-19 ในฐานะโรคระบาดและภาวะโรคระบาดในฐานะที่เป็นวิกฤตสังคมโลก ที่เป็นปัจจัยสําคัญก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนอกจากน้ีในประเด็นในทางสังคมวัฒนธรรมอื่น ๆ อันเกิดจากภาวะโรคระบาด โควิด 19 ยังไม่ได้รับการศึกษาในเชิงลึกอย่างเป็นระบบอย่างจริงจัง ทั้งที่ประเด็นดังกล่าวมีความสําคัญกับการพัฒนาสังคมไทยในช่วงการระบาดของโรค และโดยเฉพาะในอนาคตช่วงหลังการระบาดของไวรัสโควิด-19 เนื่องจากภาวะโควิด-19 สร?างความเปลี่ยนแปลงในชีวิตประจําวันของสมาชิกในสังคมทุกกลุ่ม รวมทั้งความเปลี่ยนแปลงในมิติทางสังคมวัฒนธรรม และเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่ลึกซึ้ง
ชุดแผนวิจัยนี้จึงมุ่งเป้าศึกษาผลกระทบของภาวะโควิด-19 ต่อสังคมไทยในสี่มิติด้วยกัน คือ
มิติที่ 1 : พลวัตโรคระบาด นโยบายการบริหารจัดการของรัฐ และความเปลี่ยนแปลงทางสังคม
มิติที่ 2 : กลุ่มคนชายขอบ/กลุ่มเปราะบาง
มิติที่ 3 : แรงงานทางในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์
มิติที่ 4 : ประเด็นข้ามชาติของสังคมไทยในภาวะโควิด-19