เทคโนโลยีกับการสอนภาษาไทย กับ รองศาสตราจารย์ ดร.วัชรพล วิบูลยศริน

ปิยวรรณ เกาะแก้ว
Share on :

รองศาสตราจารย์ ดร.วัชรพล วิบูลยศริน  อดีตรองผู้อำนวยการฝ่ายการศึกษา บริการวิชาการ และสื่อสารองค์กร สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย เป็นผู้ที่มีผลงานที่โดดเด่นในหลายด้าน ทั้งในเรื่องการพัฒนาแบบทดสอบวัดระดับความสามารถด้านภาษาไทยสำหรับชาวต่างชาติ (MU-Thai Test)   การสร้างนวัตกรรมแอปพลิเคชันบนแท็บเล็ต “RILCA” ที่ออกแบบสำหรับครูโรงเรียนประถมศึกษาในประเทศไทย  โดยเฉพาะโครงการวิจัยล่าสุด “RILCA World” ที่เป็นการปฏิวัติการสอนภาษาไทยเป็นภาษาที่สอง/ภาษาต่างประเทศ ที่ได้ริเริ่มนำโลกเสมือนจริง 3 มิติที่สนับสนุนงานและทำงานร่วมกันมาปรับใช้เพื่อเพิ่มความสามารถในการสื่อสารของผู้เรียนที่ไม่ใช่เจ้าของภาษา  ซึ่งผลงานดังกล่าวทำให้ รองศาสตราจารย์ ดร.วัชรพล วิบูลศริน ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น  Senior Fellow of the Higher Education Academy (SFHEA) ในสหราชอาณาจักร   นอกจากความรู้ความเชี่ยวชาญและชื่อเสียงในด้านเทคโนโลยีการศึกษาและการสอนภาษาไทยในประเทศไทยแล้ว  ในปี 2568 ผลงานวิจัยเรื่อง “การวิจัยและพัฒนาโปรแกรมประยุกต์การเรียนรู้บนอุปกรณ์เคลื่อนที่แบบใช้ภาพเหตุการณ์เป็นฐานเพื่อพัฒนาสมิทธิภาพทวิภาษาสำหรับผู้เรียนวัยเด็กยุคดิจิทัล” ยังได้รับรางวัลการวิจัยแห่งชาติระดับดี ในสาขาการศึกษา  และรางวัล “ครูภาษาไทยดีเด่น” เพื่อรับรางวัลเข็มเชิดชูเกียรติจารึกพระนามภิไธยย่อ สธ จากสํานักงานศึกษาธิการจังหวัดนครปฐม    รวมถึงล่าสุดกับการได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งใน Mahidol University’s Top 100 Researcher 2026 จากจํานวน 200 รายชื่อแรกโดยอ้างอิงข้อมูลจากฐานข้อมูล Scival เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2568  ซึ่งเรื่องราวและผลงานของรองศาสตราจารย์ ดร.วัชรพล วิบูลยศริน จะน่าสนใจอย่างไร เชิญท่านค้นหาได้จากคำตอบเหล่านี้

การศึกษา-การทำงาน และความสนใจที่นำไปสู่การเป็นผู้รู้และผู้เชี่ยวชาญการออกแบบการเรียนการสอน การสอนภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศ และการใช้ปัญญาประดิษฐ์ในทางภาษา”   

ผมจบการศึกษาระดับปริญญาตรีใน 3 สาขาคือสาขาภาษาอังกฤษจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง,  สาขามัธยมศึกษาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสาขาไทยคดีศึกษาจากมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช   ระดับปริญญาโทจบ 2 สาขาคือ สาขาการสอนภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศจากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ  และสาขาการสอนภาษาจาก University of London ส่วนระดับปริญญาเอกผมจบด้านเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ด้วยศาสตร์ทางความรู้ที่มีความหลากหลายตั้งแต่ปริญญาตรีจนถึงปริญญาเอก  ทำให้ผมสามารถนำมาบูรณาการเป็นงานวิจัยใหม่ ๆ ที่น่าสนใจได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการสอนภาษาที่สอง  การสอนภาษาไทยให้กับชาวต่างชาติ การพัฒนานักศึกษาครู-ผู้เรียนที่อยู่ระดับประถมและมัธยมด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้เสมือนจริง โลกเสมือนจริงสามมิติ AI Chatbot  ซึ่งงานวิจัยช่วงหลังได้เน้นไปที่เรื่องการให้ข้อมูลป้อนกลับโดยมนุษย์และ AI ที่มีผลต่อพัฒนาการในการเรียนภาษาของผู้เรียนในแต่ละช่วงวัย  

ด้านการทำงาน ผมเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยมากว่า 14 ปี ได้เป็นทั้งนักวิจัย และนักพัฒนาหลักสูตร  ผมได้เรียนรู้การเป็นประธานหลักสูตรที่ต้องดูแลและพัฒนาหลักสูตรทั้งในระดับปริญญาตรีและเอก  โดยเฉพาะหลักสูตรที่เน้นการเรียนการสอนแบบให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางและการใช้เทคโนโลยี  สิ่งเหล่านี้บ่มเพาะให้ผมเชี่ยวชาญทั้งทางทฤษฎีและปฏิบัติ  โดยเฉพาะเรื่องการออกแบบการสอนภาษา  การสอนภาษาไทยให้กับชาวต่างชาติโดยใช้นวัตกรรมเพื่อเพิ่มทักษะให้กับผู้เรียน   

เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ส่งผลต่อการเรียนรู้ด้านภาษาอย่างไร โดยเฉพาะการคิด เขียน และวิเคราะห์

                        เราต้องกำหนดวิธีการใช้และระดับการใช้ ว่าควรใช้อย่างไร มากน้อยแค่ไหน เพราะหากให้ AI เป็นผู้ผลิตเนื้อหาให้ทั้งหมด ก็จะไม่เกิดการพัฒนาทักษะใด ๆ เลย  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้ภาษา การวิเคราะห์ และความสามารถในการเรียนรู้   โดยส่วนตัวผมมองว่า AI มีประโยชน์มากหากใช้ให้เป็น  อย่างการใช้ Chatbot ก็ช่วยกระตุ้นความคิดให้ผู้เรียนได้ฝึกตั้งคำถาม การโต้แย้ง และการเรียบเรียงความคิด  ในเรื่องของภาษาอังกฤษ  AI ก็ช่วยตรวจสอบไวยากรณ์ แนะนำโครงสร้างประโยค และร่างเนื้อหาให้กับผู้ที่ขาดความมั่นใจในการใช้ภาษาอังกฤษ    ด้านการวิเคราะห์  AI ก็สรุปเนื้อหาหรือวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากให้  รวมถึงเปรียบเทียบวิธีคิดหรือแนวคิดต่าง ๆ ที่ส่งเสริมทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ได้ดี  ยกเว้นการตัดสินใจที่เราต้องเป็นผู้กระทำ  ดังนั้น ผมแนะนำว่าเราควรใช้ AI เป็นเพียงเครื่องมือช่วยในการทำงานเท่านั้น

การใช้ AI กับงานทางวิชาการ เช่นงานวิจัย หรือวิทยานิพนธ์ ควรระมัดระวังเรื่องใดบ้าง โดยเฉพาะเรื่องการละเมิด  

มีการถกเถียงกันมากในประเด็นของ AI กับงานวิชาการ โดยเฉพาะเรื่องความน่าเชื่อถือ  ซึ่งผมเห็นว่า การใช้ข้อมูลจาก AI ควรมีแหล่งที่มาชัดเจน  เพราะหากคัดลอกโดยไม่มีการปรับแก้จะมีโอกาสผิด และเกิด Plagiarism ได้ง่าย เข้าข่ายคัดลอกผลงาน หรือขโมยผลงาน/ความคิดของคนอื่น ที่เรียกว่า “อาชญากรรมทางวิชาการ”  การใช้ AI ในงานวิชาการจึงต้องคำนึงถึงหลักจริยธรรมทางวิชาการ และระเบียบของแต่ละหน่วยงานเป็นอันดับแรก  และอย่างที่บอกไปว่าควรใช้ AI เป็นเพียงเครื่องมือเท่านั้น  สำหรับผมเองไม่ได้ปิดกั้นนักศึกษาในการใช้งาน AI แต่จะกำหนดขอบเขตและวิธีการเพื่อเป็นการควบคุมการใช้งานของนักศึกษา  โดยให้นักศึกษานำคำตอบที่ได้จาก AI  กับคำตอบของนักศึกษาเอง มาผสานกันให้เป็นคำตอบเดียว แต่จะต้องแสดงให้ผมเห็นทั้งคำตอบของนักศึกษาและของ AI ด้วย  

งานวิจัยเรื่อง “การวิจัยและพัฒนาโปรแกรมประยุกต์การเรียนรู้บนอุปกรณ์เคลื่อนที่แบบใช้ภาพเหตุการณ์เป็นฐานเพื่อพัฒนาสมิทธิภาพทวิภาษาสำหรับผู้เรียนวัยเด็กยุคดิจิทัล”  มีประโยชน์ และเป็นแนวทางพัฒนาการเรียนการสอนผู้เรียนในยุคดิจิทัลอย่างไร  และอะไรคือแรงบันดาลใจ

                        ผมทำงานวิจัยเรื่องนี้เพราะตกใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับระบบการศึกษาไทย เนื่องจากพบว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ผลสอบ O-Net ของนักเรียนไทยมีคะแนนเฉลี่ยวิชาภาษาไทยสูงเกินครึ่งเพียง 51-52 จากคะแนนเต็มร้อยเท่านั้น   ส่วนภาษาอังกฤษก็อยู่ที่ 30-40 คะแนน  ผมจึงตั้งเป้าในการทำวิจัยเพื่อยกระดับสมิทธิภาพ (ความสามารถทั่วไปทางภาษาซึ่งไม่ขึ้นต่อหลักสูตร) ทั้งภาษาไทยและอังกฤษเพื่อสร้างพื้นฐานทางภาษาที่ดีให้กับเด็ก  โดยนำพฤติกรรมการติดเทคโนโลยีมือถือหรือแท็บเล็ตของเด็กที่เรียกว่า “พฤติกรรมติดจอ” ซึ่งเป็นข้อเสียมาใช้ให้เกิดประโยชน์  ด้วยการออกแบบโปรแกรมประยุกต์หรือแอปพลิเคชันโดยใช้ภาพเหตุการณ์เป็นฐานให้เด็กได้เรียนรู้ผ่านภาพโดยเชื่อมโยงภาษาไทยและภาษาอังกฤษ  ให้เด็กได้ฝึกพูด ฟัง เขียน และเรียนไวยากรณ์จากบริบทใกล้ตัวที่เด็กมีความคุ้นเคย เช่น ที่บ้าน ในโรงเรียน นอกโรงเรียน แล้วเชื่อมโยงการใช้ภาษาระหว่างภาษาไทยกับภาษาอังกฤษ  โดยเน้นการเรียนการสอนแบบให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม   ซึ่งงานวิจัยชิ้นนี้ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือ แต่เป็นสื่อกลางในการสร้างประสบการณ์ร่วมกันระหว่างเด็กกับครูขณะอยู่ที่โรงเรียน  และเด็กกับพ่อแม่เมื่ออยู่ที่บ้าน

มหาวิทยาลัยควรปรับรูปแบบการจัดเรียนการสอนให้สอดคล้องและทันต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างไร  และจะนำเทคโนโลยีมาใช้จัดการศึกษาอย่างไรให้ผู้เรียนรู้สึกสนุกและสนใจ

 มหาวิทยาลัยจำเป็นต้องปรับวิธีการและรูปแบบการจัดการเรียนการสอนให้ยืดหยุ่นมากขึ้น  เพื่อให้ทันกับโลกที่เปลี่ยนแปลงไป โดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางและการเรียนรู้ตลอดชีวิต ใช้วิธีการสอนที่หลากหลาย ทั้งสอนในห้องเรียน สอน online จัดการเรียนรู้แบบผสมผสานที่เรียกว่า Blended Learning หรือเรียนผ่านระบบที่เรียกว่า MOOC ที่นำเอาเทคโนโลยีมาใช้ในการจัดการเรียนการสอน  ซึ่งการนำเครื่องมือมาใช้ต้องคำนึงถึงประสบการณ์ของผู้เรียนเป็นหลักด้วย  ไม่ว่าจะเป็นการใช้ระบบห้องเรียนเสมือนจริงที่เรียกว่า Virtual Classroom  การใช้ Gamification เพื่อดึงให้ผู้เรียนเข้ามามีส่วนร่วมในชั้นเรียนมากขึ้น การใช้ AI ที่ออกแบบมาสำหรับการให้ข้อมูลป้อนกลับ หรือการเรียนรู้ส่วนบุคคล (Personalized Learning)  ล้วนเป็นสิ่งที่มหาวิทยาลัยต้องมีการปรับเปลี่ยนเพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนรู้สึกสนุก สนใจ และอยากมีส่วนร่วม และได้ประสบการณ์การเรียนรู้ที่ดี    

ปัจจัยในการออกแบบการเรียนการสอนให้เหมาะกับผู้เรียนที่มีความแตกต่างกัน

เป็นธรรมดาที่ผู้เรียนจะมีบุคลิกลักษณะที่แตกต่างกัน เช่น ผู้เรียนบางคนอาจชอบฟังไม่ชอบอ่าน บางคนต้องการฟังหรืออ่าน หรือร่างกายต้องได้เคลื่อนไหวถึงจะเรียนรู้ได้ดี   การออกแบบการเรียนการสอนจึงต้องเน้นไปที่เรื่องความแตกต่างของผู้เรียน  โดยใช้หลักการ “การออกแบบการเรียนรู้ที่เป็นสากล” (Universal Design for Learning) หรือ UDL ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของการออกแบบเมื่อผู้เรียนมีความแตกต่างกัน โดยใช้ควบคู่กับการประเมินความต้องการเฉพาะบุคคลที่ผู้สอนสามารถให้ข้อมูลป้อนกลับ หรือประเมินผลระหว่างเรียนเพื่อให้รู้ว่าผู้เรียนอยู่จุดใด  จะช่วยให้ผู้เรียนไม่หลงทางหรือหลุดกรอบ  จะทำให้ทราบว่าผู้เรียนต้องการอะไร  หรือการให้ผู้เรียนเขียนสะท้อนคิดเมื่อสอนเสร็จในแต่ละครั้งจะช่วยผู้สอนให้สามารถออกแบบการเรียนการสอนเพื่อผู้เรียนที่มีความแตกต่างกันได้ และที่สำคัญการออกแบบต้องมีสื่อที่มีความหลากหลายด้วยเพื่อให้ผู้เรียนได้เลือกวิธีการที่จะเรียนหรือนำเสนอผลงานตามที่ตนเองถนัดและสนใจ

สิ่งใดคือเหตุของความขัดแย้งบนโลก social และควรระวังเรื่องใดเป็นพิเศษ

                        ช่วงเรียนปริญญาเอกผมทำวิจัยเกี่ยวกับการเขียนวิพากษ์เชิงสร้างสรรค์ เพราะพบว่าความขัดแย้งบนโลกออนไลน์อย่าง Facebook ส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากการใช้ภาษาในการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องราวและตัวบุคคลที่ไม่สุภาพ  เวลาอ่านคอมเมนต์ก็จะเจอหลายคนใช้ถ้อยคำที่ไม่เหมาะสมกับอีกคน และหลายครั้งการแสดงความคิดเห็นด้วยภาษาที่ไม่สุภาพก็ส่งผลให้เกิดคดีความมากมายจากการผิดพรบ.คอมพิวเตอร์ ปี 2550  เพราะแม้รัฐธรรมนูญจะให้สิทธิ์ในการแสดงความคิดเห็นในเรื่องต่าง ๆ ได้  แต่จะต้องอยู่ภายใต้ขอบเขตที่กฎหมายกำหนด  สำหรับผมเห็นว่าพฤติกรรมดังกล่าวเป็นเรื่องของการ “รู้ภาษา แต่ไม่รู้วัฒนธรรม”  เราจำเป็นต้องระลึกเสมอว่ากำลังพูดอยู่กับใคร  ควรใช้ภาษาระดับใด ซึ่งระดับของการใช้ภาษาขึ้นอยู่กับความคุ้นเคย หากไม่สนิทภาษาที่ใช้ต้องอยู่ในระดับที่สูงขึ้น  ต้องคิดก่อนเขียน  ไม่ทำร้ายใครด้วยถ้อยคำที่ไม่สร้างสรรค์ และต้องมีหลักฐานประกอบซึ่งเป็นที่ยอมรับและเชื่อถือได้  สรุปก็คือการวิพากษ์วิจารณ์ต้องอยู่ภายใต้บริบท และความเหมาะสมตามกรอบของแต่ละสังคม

อะไรคือปัญหาที่ชาวต่างชาติประสบมากที่สุดในการเรียนภาษาไทย ระหว่างเขียน อ่าน พูด ฟัง และมีวิธีการหรือเทคนิคใดที่จะช่วยให้ผู้เรียน เรียนรู้ได้ง่าย และเร็ว 

จากประสบการณ์การสอนภาษาไทยให้กับชาวต่างชาติ  พบว่ามากที่สุดคือปัญหาด้านการพูดเนื่องจากต้องใช้กระบวนการคิดและตอบสนองทันที  ซึ่งการเรียนภาษาให้เก่งจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาและฝึกฝน สำหรับผมใช้หลัก Fluency before accuracy ที่เน้นความคล่องแคล่วแล้วค่อยปรับเรื่องโครงสร้างประโยค และการออกเสียง  ส่วนเทคนิคที่จะช่วยกระตุ้นการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียนมีหลายรูปแบบ  ตั้งแต่ให้เรียนรู้วิถีชีวิตจากการดูหนังฟังเพลง  ให้ดูหรือฟังข่าวภาษาไทย ให้พูดคุยกับคนไทยบ่อย ๆ  ให้อยู่ในสถานที่หรือท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เป็นคนไทย  ให้พูดกับแอปพลิเคชันที่มีการวิเคราะห์ระบบเสียง  การใช้ AI Chatbot  และการจัดกลุ่มผู้เรียนเพื่อช่วยฝึกทักษะการใช้ภาษาให้กันเช่นนักศึกษาไทยที่เรียนเอกภาษาจีนกับนักศึกษาจีนที่เรียนเอกภาษาไทย   นอกจากนี้การสร้างบรรยากาศห้องเรียนสอนภาษาให้มีความเป็นมิตร ก็จะทำให้ผู้เรียนเกิดความมั่นใจ และรู้สึกว่าครูคือผู้คอยช่วยเหลือ  ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมการเรียนรู้ให้ผู้เรียนอีกทางหนึ่งด้วย

ระบบประเมินสมรรถนะการใช้ภาษาไทยฯ เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศชาติและสังคมโลกอย่างไร  (เศรษฐกิจ สังคม และสิทธิมนุษยชน)

MU Thai Test  เป็นแบบทดสอบที่มีคุณภาพและช่วยส่งเสริมความเสมอภาคทางการศึกษาที่เชื่อมโยงผู้คนที่ไม่ได้ใช้ภาษาไทยเป็นภาษาแม่ให้อยู่ร่วมในสังคมไทยได้อย่างปกติสุข  เป็นระบบประเมินที่มีมาตรฐาน โปร่งใสและเป็นธรรม ซึ่งส่งผลดีต่อประเทศในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ เพราะระบบประเมินสมรรถนะทางภาษาไทยที่เป็นมาตรฐานจะช่วยให้ภาครัฐและเอกชนสามารถคัดเลือกแรงงานต่างชาติที่มีความสามารถในการสื่อสารก่อให้เกิดการจ้างงานที่มีประสิทธิภาพ   เป็นการยกระดับแรงงานในภาคอุตสาหกรรม  และเป็นเกณฑ์อ้างอิงคุณภาพของแรงงานทั้งก่อนและหลังการอบรมอีกด้วย  ซึ่งนอกจากจะช่วยลดปัญหาที่เกิดจากการสื่อสารผิดพลาดแล้ว  ทำให้ผู้จ้างงานได้แรงงานที่มีคุณภาพเข้าสู่ระบบ  

                        สำหรับด้านสังคมวัฒนธรรม  แบบทดสอบออกแบบขึ้นโดยใช้บริบทของการใช้ภาษาไทยเป็นหลัก  ทำให้ผู้เรียนหรือผู้อพยพสามารถปรับตัวเข้ากับสังคมไทยได้ดี  มีความรู้ความเข้าใจเรื่องกฎระเบียบ วัฒนธรรม และค่านิยมของคนไทยมากขึ้น  ทำให้ลดปัญหาความเข้าใจผิดทางวัฒนธรรมที่โยงไปสู่ปัญหาอื่นได้  ส่วนเรื่องสิทธิมนุษยชน ผู้ลี้ภัย ผู้อพยพ หรือแรงงานข้ามชาติทุกคนมีสิทธิ์นำผลประเมินไปใช้เพื่อทำงาน ศึกษาต่อ  หรือใช้ดำรงชีวิตได้อย่างเท่าเทียมโดยไม่มีการปิดกั้นหรือกีดกันทางวัฒนธรรม  ซึ่ง MU Thai Test ได้ร่วมมือกับนานาประเทศในการนำแบบทดสอบไปใช้ในสถานศึกษา และศูนย์ทดสอบในต่างประเทศด้วย

อะไรเป็นแรงบันดาลใจที่หล่อหลอมให้เป็น “รองศาสตราจารย์ ดร.วัชรพล วิบูลศริน”  

ผมชอบหาความรู้ใหม่ ๆ และพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ผมรู้สึกว่าการเรียนรู้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ความรู้ที่หลากหลายทั้งด้านภาษา การสอน เทคโนโลยี วัฒนธรรม หล่อหลอมให้ผมสามารถทำงานได้หลายบทบาท  ความพยายามในการเรียนรู้ทำให้ผมเป็น “วัชรพล วิบูลยศริน”  ที่ไม่ใช่แค่ตำแหน่งทางการศึกษาหรือคุณวุฒิ แต่เป็นเพราะผมเชื่อว่าการเรียนรู้ที่ดีต้องไม่หยุดนิ่ง  ต่อเนื่อง และต้องเป็นครูที่ดีที่สุดในทุกช่วงวัย  

สิ่งที่อยากพัฒนา แต่ยังไม่มีเวลา

อยากหาความรู้ในเรื่องสถิติทางการศึกษาขั้นสูงอื่น ๆ กับระเบียบวิธีวิจัยของานวิจัยเชิงคุณภาพ แต่ยังไม่ได้เริ่มสักทีเพราะไม่มีเวลา รวมถึงอยากแต่งตำราด้านนวัตกรรมการศึกษาและการประยุกต์ใช้ในบริบทของสังคมไทยแต่ก็ยังแค่ขั้นตอนของการรวบรวมข้อมูลอยู่เท่านั้นเอง